dark mode light mode Search
Search

บาสเกตบอล กีฬาหลักของพี่แว่นตอนมัธยม

ไม่รู้ทำไมถึงชอบเล่นบาสเกตบอล ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่น่าจะมาช่วงที่ดู NBA ช่วงบ่ายทางช่อง 7 ที่ทำให้ซึมซับบาสเกตบอลเข้าไปกลายเป็นกีฬาหลักของตัวเองไปเลยโดยไม่สนใจฟุตบอลเลยแม้แต่นิด

-คนเล่นบาสแม่งขี้เก๊ก-

เพื่อนที่เล่นฟุตบอลคนนึงได้กล่าวไว้
ไม่ได้โดดสูงหรอก แต่ตั้งเก้าอี้ไว้แล้วโดดจากเก้าอี้ให้ดูว่าโดดสูงหน่ะ

มันจริงนะ ตามที่เพื่อนได้บอกครับ ว่าคนเล่นบาสทำไมขี้เก๊ก มันจะมีอยู่นิดนึงหละ เพราะบาสเกตบอลมันไม่ใช่กีฬาฮิตหลักๆในโรงเรียนพี่แว่น โน้น..เตะบอล เตะตะกร้อ วอลเล่ย์บอลโน้น ฮิตมากกว่า

รองเท้าก็ต้องหุ้มข้อไนกี้ รีบ็อค อาดิดาส 2-5 พันบาท เดือดร้อนพ่อแม่อีก เพราะไม่มีก็ไม่เท่ รุ่นพี่ที่เล่นบาสแม่งแต่งตัวจัดๆกันทุกคน แต่งรถเท่ๆกันหมด แต่ก็รบเร้าจนได้ร้องเท้าเล่นบาสเท่ๆมาคู่นึง จัดว่าหล่อไม่เบาเลยหละครับ

รองเท้าคู่นี้จัดได้ว่าเอาไว้ดึงหน้าเลยหละครับ เวลาเรียนก็เอามาเก็บใต้โต๊ะเรียนของตัวเอง ไม่กล้าเอาไว้นอกห้อง เช็ดถูอย่างดีสวยเหมือนใหม่ตลอด แต่พอใช้งานจริงก็เสียดายมัน บวกกับความเทอะทะของมัน ใส่แล้วสปีดลดลง ไม่ว่องไวเหมือนเดิม ก็เลยใส่นันยางย้อมสีเหมือนเดิมครับ ไม่ได้ใช้มันออกงานแข่งจริงๆซักเท่าไหร่ และแล้วมันก็เก่าไปตามเวลาตามสภาพ ย่อยสลายไปตามอายุการใช้งานของมันครับ โดยที่ไม่ได้เอาไปใช้ซักเท่าไหร่หน่ะครับ

หลังจากเล่นบาสเกตบอลเสร็จ ยังไม่กลับบ้านกันนะครับ ต้องไปบ้านไอ้หยกต่อ (ตอนนี้เป็นร้านกาแฟจ๊างน่าน) ไปนั่งจับกลุ่มคุยกัน จาก 1 ทุ่มยาวไป 3-4 ทุ่มแล้วค่อยกลับบ้านกัน โดยมีเพื่อนที่ไม่ได้เล่นบาสแต่อยู่บ้านใกล้ๆ แวะเวียนมานั่งคุยที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านหยกด้วยเป็นประจำครับ เป็นแบบนี้ทุกวันยันวันที่มีสอบครับ การเล่นบาสจะวนลูปประมาณนี้ครับ

หน้าบ้านไอ้หยก ส่วนขวามือในภาพคือม้าหินอ่อนที่ต้องมานั่งแทบทุกวัน และหน้าสุดคือพี่หยก เจ้าของร้านจ๊างน่าน

ความปลอดภัยไม่ต้อง
AGI ต้องมาก่อน

“ข้อพลิกไป”
พี่แว่นใส่สีดำครับ

ข้อเท้าพลิกเป็นอะไรอยู่คู่กับการเล่นบาสครับ เพราะตัวเองใส่นันยางด้วย ทำให้เวลาพลิกก็คือพังเลย ไม่มีหุ้มข้อที่จะทุเลาอาการได้เลยครับ เจ็บไปเป็นเดือนๆก็มี แต่ตอนเจ็บก็ไปสนามบาสทุกวันนะครับ หาเรื่องออกบ้าน ทำตัวเหมือนมาเล่นบาสปกติทั้งๆที่เจ็บเล่นไมได้

เนื่องจากการเล่นบาสของกลุ่มพี่แว่นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ เลยได้เป็นตัวแทนโรงเรียนสาในการแข่งขันบาสเกตบอลไปโดยปริยายเพราะมันไม่มีคนเล่นจริงๆครับ ชั้นเดียวกันก็มีอยู่ 4 คนที่เล่นแบบพอมีฝีมือ นอกนั้นเล่นเพื่อสุขภาพล้วน

ซ้าย > ขวา : พิษณุ , บาส , โย๊ะ , เจษ มีแค่โย๊ะอยู่ต่างห้อง นอกนั้นอยู่ห้อง 1 หมด โย๊ะอยู่ห้อง 3

การแข่งขันก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเพณี สา-ปัว ที่จัดทุกปี สลับกันเป็นเจ้าภาพซึ่งเป็นงานที่รอมาทั้งปีเพื่อที่อยากจะไปเยือนโรงเรียนปัว เพราะว่าสาวๆ น่ารักมากๆ แน่นอนครับโรงเรียนปัวก็คิดเหมือนกันว่าสาวเวียงสาน่ารักมากๆ

การแข่งขันก็ผลัดกันแพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของการแข่งขันนะหล่ะ จนมาถึงจุดพีคของการแข่งขัน นั่นก็คือการได้เป็นตัวแทนจังหวัดแบบงงๆ ครับ น่าจะตอน ม.3 ตอนปี 2539 เพราะถ้าเลือกหรือคัดตัวจังหวัดก็ต้องโดนเด็กโรงเรียนศรีสวัส สตรีศรีน่าน ไม่ก็โรงเรียนเทคนิค เอาโควต้าไปกินครับ แต่รอบนี้โควต้าตกมาที่โรงเรียนสาเฉย ก็มาดิค้าบบบ สี่คนในรูปไปหมดครับ ไปแข่งที่จังหวัดแพร่ เราซ้อมกันหนัก กลับบ้านดึก ด้วยพลังใจเต็มเปี่ยมกับการเป็น “ตัวแทนจังหวัดน่าน”

น่าน vs เชียงใหม่

เบอร์ 10 คือเบอร์ประจำของพี่แว่น ซากุรางิ

เสื้อแข่งก็เสื้อกล้ามสีเขียวที่พี่แว่นชอบใส่นอนนั่นหละครับ ยังใส่นอนจนทุกวันนี้ การแข่งขันแข่งแบบจับฉลากเจอกันครับ น่าน vs เชียงใหม่ บรรลัยเกิดครับ เจอเต็ง 1 ของภาคเหนือ เท่าที่เช็คมา น่าจะยกมาจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เช่นเดียวกับจังหวัดน่าน ที่ยกมาจากโรงเรียนสาและปัว

ทีมน่านเราเตรียมพร้อมด้วยการวอมพื้นรองเท้า เหมือนเบิร์นยางหละครับ ยืนแล้วเอาเท้าสีไปกับพื้นปาเก้ให้ดังเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ พร้อมไอเทมลับน้ําแดงเฮลบลูบอย หยดลงพื้นไปนิดนึงเพิ่มความเกาะพื้น (ทำตามรุ่นพี่ครับ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเค้าสอนมาจริงหรือหลอกอำ) ทีมจังหวัดน่าเราเต็มที่แน่นอนถึงแม้จะเป็นรองก็เหอะ เคยได้ยินเปล่า “แจ็คผู้ฆ่ายักษ์”

เราเล่นกันสองครึ่งตามกติกาบาสไทย ไม่ใช่ NBA ครับ พี่แว่นถูกส่งลงเป็น PG ตัวจริง ทีมเชียงใหม่มาในชุดสีขาวตัวใหญ่ๆ น่าเกรงขามไม่เบา รองเท้าแพงกว่าพวกพี่แว่นแน่นอน เสียงนกหวีดจากกรรมการในสนามเป่าดังปี้ดดดดดดดด จั้มบอลเริ่มการแข่งขัน น่านในชุดเขียวพบกับเชียงใหม่ในชุดขาว คนดูเต็มโรงยิมพละกลางจังหวัดแพร่ รูปเกมไม่ได้เป็นดั่งหวังครับ เชียงใหม่แกร่งเกินกว่าซากุรางิบาสจะต้านไหว ทำคะแนนได้ง่ายๆ จากการเข้าวงในของเซนเตอร์ร่างยักษ์ รับบอลแล้วหยอดเข้าไปเบา หยอดซ้าย หยอดขวา หยอดแม่งอยู่นั่นหละ ทีมน่านโดดเป็นกุ้งก็สูงไม่เท่าหัวไหล่มัน จบครึ่งแรกที่ 17 – 75 น่านตามมาแบบสูสี

แต่สื่งที่ทำให้เป็นภาพจำตลอดกาล ไม่มีวันลืมยังกะฉากหนัก SuckSeed ว่า “เหี้ยยยยย” แรงๆ โดยระหว่างพักครึ่งนั้น ทางกรรมการสนามได้เดินไปยังป้ายสกอร์ ซึ่งป้ายแบบสมัยนั้นจะเป็นไม้กระดานแล้วเอาตะปูมาตกสองตัว เพื่อใส่ป้านตัวเลขคะแนน เล่น 25 ก็ห้อยเลข 2 กับเลข 5 คุณลุงกรรมการได้เอาค้อนและตะปูมาตอกแต้มฝั่งเชียงใหม่เพิ่มเป็น 3 หลัก เสียงดังปั๊กๆๆๆๆ สะท้อนไปทั้งโรงยิม จ.แพร่

เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

จบเกมที่ 25 – 125 ครับ 100 แต้มพอดีเลย ถ้าทำสงครามระหว่างจังหวัดได้มันคงยกพลมาตีเมืองน่านแบบแตกพ่าย ปล้นสะดมเผาบ้านเผาเรือนพี่น้องจังหวัดน่านเป็นแน่แท้ครับ แต่ก็เป็นความทรงจำที่พอย้อนกลับไปนึกถึงมัน ก็เผลอขำเป็นไม่ได้หละครับ

-เก่งชิบหาย-

หมายถึงเชียงใหม่นะครับ

นี่หละชีวิตการเล่นบาสของพี่แว่น ก็เล่นมาตลอดจนจบ ม.6 เลยครับ พร้อมกับการอ่าน Slamdunk เพื่อปลุกอารมณ์ให้คึกก่อนไปเล่นบ้างบางเวลา คิดถึงความฟิตตอนนั้นจริงๆครับ วิ่งในสนามยาวๆ 2-3 ชม. ไม่มีเหนื่อย ช่างฟิตจริงๆ ใครมีวีรกรรมอะไรเด็ดๆมาแชร์กันได้ใน Comment นะครับผม

Total
0
Shares