dark mode light mode Search
Search

เมื่อผมเป็นโรคซึมเศร้า

มันเป็นเรื่องน่าเขินนะ เหมือนเราถูกปลูกฝังให้คิดว่าการเข้าพบจิตแพทย์คือเราต้องเป็นบ้า
ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ที่ต้องเข้าไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาและบำบัด
กินยาเป็นปีๆ ต้องกินยานอนหลับเพื่อช่วยในการนอน

เป็นคนร่าเริงมาตั้งแต่เด็กๆ

ใช่ครับ พี่แว่นเป็นที่รักของเพื่อนๆ เป็นสายฮามาตั้งแต่เด็กๆ จนโตมาเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังสายฮาเหมือนเดิม จนมาทำงานก็ทำงานด้ามเกมที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้านี้ได้ครับ

แน่นอนหละครับ มันเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับสภาพจิตใจอย่างหนักหน่วงในช่วงชีวิตครั้งนึงของพี่แว่น ทำให้การมองโลกของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เดิมที่เชื่อว่ามันเกิดจากสาเหตุนี้ แต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลัก มันแค่เร้าหรือเร่งให้มาไวขึ้นเท่านั้นเอง กลับกันการทำงานของเราต่างหาก ที่กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่เปิดประตูให้มัน (โรคซึมเศร้า) เข้ามามีบทบาทในชีวิต

เวลาที่พี่แว่นทำงาน คนใกล้ตัวและสนิทจะทราบว่า เราเป็นคนจริงจังกับงานมากถึงมากที่สุด ไม่ได้ตลกหรือชิลๆ อย่างที่เห็นหน้ากล้อง พี่แว่นมีนิสัยหลังกล้องหรือตอนที่ไม่ได้ทำงานค่อนข้างว้าเหว่และเก็บตัวเงียบครับ เป็นคนคาดวังสูงกับงานเพราะคิดว่าตอนที่เราทำงานเองนั้น เราทำมาดีมากๆ แทบไร้ที่ติ เลยคาดหวังกับงานไว้โดยมีตัวเราเองเป็นที่ตั้ง หวังว่าคนนั้นจะเป็นแบบเรา ทีเรายังทำได้ ทำไมน้องทำไม่ได้ เราคาดหวังไปซะทุกเรื่อง ซึ่งมันกลายเป็นความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันเป็นแบบนี้มาตลอดการทำงานของผม

-ทำไมถึงไปหาหมอ-

ช่วงที่มีปัญหาเรื่องความรักอย่างหนักหน่วงช่วงปลายปี 2561 เป็นช่วงที่ตัดสินใจไปหาหมอ เพราะไม่ไหวแล้วกับตัวเอง โมโหง่าย อารมณ์ร้าย เก็บตัว ไม่ออกไปไหน จนคนใกล้ชิดยังไม่กล้าที่จะเข้ามาคุยตรงๆ หรือเข้ามาทำความเข้าใจ พี่แว่นเลยหาข้อมูลเท่าที่จะหาได้ และอ่านเพื่อเก็บเป็น input ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ จนมาได้โรงงพยาบาลใกล้บ้าน

คุยกับคุณหมอครั้งแรกประมาณ 1.30 ชั่วโมง ทดสอบหลายอย่าง หลายชุดคำถาม จนได้คำตอบที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุดคือ “โรคซึมเศร้า” ไม่ใช่แค่ภาวะแต่ถูกอัพเกรดไปเป็นโรคแล้ว เราไม่ได้ตกใจมากนักเพราะทำการบ้านจากการหาข้อมูลมาค่อนข้างเยอะ คุยกับหมอเพื่อสุ่มกลุ่มยาโรคนี้ว่าควรใช้ยาตัวไหนบ้าง เพราะยาต้านเศร้ามันมีหลายกลุ่ม บางทียาบางตัวก็ได้ผลเฉพาะบางคน มันต้องลองกินแล้วจูนๆกันไป

ทรมาน…

การกินยาช่วง 2-3 อาทิตย์แรกมันทรมานกับผลข้างเคียงของยา ปากแห้ง คลื่นใส้ อ่อนเพลียตลอดเวลา ซึ่งหมอบอกว่าปกตินะ เพราะร่างกายมีการตอบรับกับยาชุดนี้ เริ่มทานยาวันละ 4 เม็ด เริ่มจาก mg น้อยๆ ค่อยๆอัพไปแบบแรงสุด เพื่อให้ร่างกายปรับตัว พบหมอทุกๆ 2 อาทิตย์เพื่ออัพเดทอาการกับหมอและจูนยาไปเรื่อยๆ

พี่แว่นเริ่มเปลี่ยนการใช้ชีวิต เริ่มจากเรื่องงาน น้องๆที่ทำงานไม่ให้พี่แว่นทำงานหลักของ FPSThailand แล้ว ให้พักผ่อนเต็มที่ แต่ก็ยังอยู่เป็นเบื้องหลังให้เสมอ ลองทำในสิ่งที่อยากทำไม่ว่าจะเป็นดนตรี กีฬา หรือร้าน CuteBoy ที่เป็นโปรเจคที่อยากลองทำ อยากได้อะไรซื้อหมดถ้าซื้อไหว เพราะอยากสนองความต้องการต่อจิดใจของเราถึงแม้ว่าจะเป็นแค่วัตถุ แต่ถ้ามันทำให้เราสบายใจได้มันก็ดีกว่าคนเป็นๆที่คิดร้ายกับเรา

ความเศร้าไม่มีวันหาย
มันแค่จางไปเพราะได้ความสุขมาเพิ่ม

ผมเชื่อเช่นนั้น

ตอนที่ป่วย พี่แว่นพยายามสร้างความสุขให้ตัวเอง ไม่อยากอยู่คนเดียว อยากสตรีมแต่มันช่างน่าแปลกนะ วันไหนที่มีความสุขมากๆ เช่นได้ดูคอนเสิร์ตที่ฟินและสุขมากๆ พอกลับมาบ้านแล้วอยู่คนเดียว อาการดิ่งถามหาเลยครับ โหดร้ายมาก มันจะไม่ให้เรามีความสุขเลยรึไง แน่นอนครับยาช่วยได้ พี่แว่นมียาด่วนที่พอรู้สึกว่ามันกำลังจะมา ก็จัดไปเลย 1 เม็ดเรื่องเงียบ

อาการมันจะวนอยู่แบบนี้หละครับ ขึ้นๆลงๆ อ้อลืมบอกไปว่า พี่แว่นได้ของแถมมาอีก 1 โรค นั่นก็คือไบโพล่าครับ ซึ่งแอบตกใจเหมือนกัน เพราะหมอวินิจฉัยแล้วให้ยามากินทั้งซึ่มเศร้าและไบโพล่าเลยละครับ งงมั้ยครับ ในคนๆเดียวมีทั้งเศร้าทั้งดีด ค่ายาก็เพิ่มไปอีกครับ

พี่แว่นต้องกินยาไปจนหมดปี 2563 ครับ ยาวนานมากๆ สองปีกว่าๆ แต่อยากให้กลับมาปกติมากๆ เพราะยามันแพง พี่แว่นเลือกยาแบบผลข้างเคียงน้อยที่สุด เลยทำให้ราคาก็ดีดตามไปด้วยครับ อยากจะเขียนบทความนี้เพื่อระบายและแชร์ความรู้สึกของตัวเอง ว่าไอ้โรคนี้อ่ะ มันไม่ใช่ต้องเป็นคนเศร้านะเว้ยถึงจะเป็น คนร่าเริงนี่หละตัวดี บางทีการหัวเราะก็ไม่ใช่การบ่งบอกถึงความรู้สึกจริงๆก็เป็นได้ครับ ในใบหน้านั้นอาจมีอะไรซ่อนอยู่ข้างในก็เป็นได้

สาเหตุของมันคือ “ความเจ็บป่วยทางกาย”
แต่อาการจะแสดงออกมาในรูปแบบของ
“ความเจ็บป่วยทางจิต”

การไปพบจิตแพทย์ทำให้เรากล้าที่จะบอกสิ่งต่างๆในชีวิตเรา เพื่อให้คุณหมอที่เชี่ยวชาญดูแลดีกว่าครับ ประโยคที่ว่า “ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเอง” มันใช้ไม่ได้กับโรคนี้นะครับ หยุดยาเองเพราะเข้าใจว่าหายแล้วนี่พังมาหลายคนแล้วนะครับ เชื่อพี่แว่นเถอะครับ ใครอ่านแล้วคิดว่าตัวเองเข้าข่ายก็ลองโทรไปสอบถามกรมสุขภาพจิต (ไม่รู้มีคนตอบมั้ย) ไม่ก็หาทางนัดหมอเองก็ได้ครับ น่าจะชัวร์กว่านะ

หลายคนบอกว่าพี่แว่นเป็นโรคซึมเศร้าแบบ Wanna be คือไม่ได้เป็นจริงๆ แค่เรียกร้องความสนใจ อยากบอกตรงนี้เลยครับ พี่แว่นเองอยากมีความสุขมากๆ อยากปกติแบบคนทั่วไป อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่นด้วยทัศนะคติของตัวเองเลยครับ เสียเงินเสียสุขภาพจิตแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาแกล้งทำกันหรอกครับ

พี่แว่นเขียนบล็อกนี้ขึ้นมา เพราะเป็นอีกสิ่งนึงที่เป็นการระบายสิ่งที่อยู่ในหัวได้ออกไปบ้าง เหมือนกับการแต่งเพลงซักเพลงนึง คือระเบิดมันออกมาในรูปแบบของบทเพลง หรือโพสเรื่อยเปื่อยในทวิตเตอร์ส่วนตัวของพี่แว่น แต่ที่แย่ที่สุดบางคนก็ระเบิดมันออกมาโดยการฆ่าตัวตาย ซึ่งคนเราคิดไม่เหมือนกันครับ ทุกอย่างมันมีทางออกของมันอยู่แล้วหละครับ พี่แว่นพยายามที่จะปลดปล่อยทุกสิ่ง สอนทุกอย่าง แชร์เรื่องที่ตัวเองพบมา ให้คนรุ่นหลังได้รับทราบเผื่อที่จะพอมีประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

บางครั้งจะมีบางคนเคยโดนผลกระทบทางด้านอารมณ์ของพี่แว่นทั้งทางตรงและทางอ้อม ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามระบบของมัน และทุกสิ่งมีทางออกเสมอ รวมถึงพี่แว่นเองก็พยามพยามตามหาทางออกให้ตัวเองอยู่ครับ และพี่แว่นโอเคนะกับการที่บอกว่าสู้ๆนะ เป็นกำลังใจ ไม่ได้รู้สึกกับคำนี้อย่างที่หลายๆบทความในโลกโซเชียลได้แชร์มาครับ แต่จะรู้สึกแย่กับการที่ต้องคอยตอบคำถามว่า ทำไมเศร้า ร่าเริงสิๆๆ ดูทรงแล้วไม่น่าเป็นนะ อะไรเทือกๆนี้หละ มันรู้สึกเหมือนว่าเค้าไม่ได้เข้าใจอะไรเราเลยซักนิด

เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเศร้า

ท้ายสุดแล้วมันก็ไม่พ้นกับการที่ต้องปรับตัวและ move on ต่อไปในทุกๆเรื่อง ณ ตอนนี้ตัวพี่แว่นเองเริ่มรู้จักกับมัน (โรคซึมเศร้า) พอสมควร รับรู้ถึงความรู้สึกเวลาที่มันจะมาเยือนและเตรียมรับมือกับมัน สิ่งสำคัญคือยาต้องไม่ขาด ไม่หยุดยาเอง เปลี่ยนความคิดที่สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เราดิ่งหรือดาวน์ได้ หาความสุขใส่ตัวเองเยอะๆ และที่สำคัญคือเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเศร้าให้ได้ครับ

  • เข้าพบหมอครั้งแรก 10 สิงหาคม 2561
  • รักษาตัวที่โรงพยาบาลมนารมย์
  • ค่าใช้จ่าย 5,000 – 10,000 บาท/เดือน
  • ระยะเวลาที่คาดว่าจะหยุดกินยา 31 ธันวาคม 2563
  • ระยะเวลารักษา 2 ปี 4 เดือน
Total
0
Shares